เมื่อเสียความมั่นใจในฐานะนักเขียน
เป็นคนหนึ่งที่แต่งแฟนฟิคด้วยpassion เรื่องแรกคนไม่ได้อ่านมากมายอะไร แต่ก็พอมีรีดแวะมาเป็นกำลังใจอยู่บ้าง พอจบเรื่องที่หนึ่งก็แต่งเรื่องที่สองโดยหวังว่าจะดีขึ้นแต่ก็ไม่ดีขึ้น จนมาเรื่องที่สาม คราวนี้ลองแต่งตัวละครที่แมสที่สุดในเรื่อง ผลตอบรับแย่กว่าเดิม จนเริ่มเสียความมั่นใจกับงานของตัวเอง (เพราะไปเทียบกับงานคนอื่นด้วย555) อยากจะแต่งออริแต่ก็มีคำถามว่าขนาดแฟนฟิคที่มีฐานแฟนคลับเรื่องนั้นๆ ยังทำให้คนอ่านไม่ได้ จะมาเอาอะไรกับงานที่ตัวเองเขียนเอง มันเป็นความคิดที่วนๆอยู่ในหัว อยากถามไรท์คนอื่นค่ะ พอเสียความมั่นใจแล้วกู้กลับมายังไงกันคะ ถ้าหากเขียนงานจบผลลัพธ์ไม่ดีติดๆกันหลายเรื่อง (ปล.ทุกเรื่องแต่งจบหมดนะคะ ยอดตอนเกือบร้อยแต่จบที่ประมาณสาม-สี่พันวิวต่อเรื่อง คอมเม้นนานๆที)
15 ความคิดเห็น
ผมเพิ่มความมั่นใจด้วยการเรียนรู้ เพียงได้ยินแนวคิดของนักเขียนดัง ตรงกับนิยายของเรา ความมั่นมาเต็ม ยิ่งไลน์สดถามตรงใจก็ยิ่งมั่น
มันเป็นช่วงเวลาที่ต้องทบทวนตัวเอง ยังดีที่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังมาผิดทาง แต่ไม่ดันทุรังต่อเหมือนนักเขียนบางราย เขียนไปแล้ว 20 เรื่อง เรื่องหนึ่งมีมากกว่า 50 ตอน เสียเวลาไปกับทิฐิของตัวเองโดยยึดติดกับสไตล์การเขียนนิยายแบบเดิมๆ สุดท้ายคนอ่านก็ยังน้อยเหมือนเดิม หลายเรื่องไม่ถึง 1,000 วิว บางเรื่องเขียนดีขึ้นหน่อยได้ 2,000 วิว แต่ไม่เคยถึง 5,000 วิว แล้วก็ไปเชื่อคำพูดของนักเขียนขี้แพ้ ให้พอใจกับยอดวิวแค่ 1,000 - 2,000 สักแต่เขียนไปเรื่อยๆ ไม่ลืมหูลืมตาแล้วพัฒนาตัวเองให้ไปได้ไกลกว่านี้
วิธีแก้คือ หาตัวอย่างนิยายที่ดีเพื่อซึมซับสไตล์การเขียน เลือกนิยายที่มียอดวิวสูงๆ แล้วอ่านเยอะๆ จากนั้นเลือกสไตล์การเขียน เช่น วิธีการเขียนที่สื่ออารมณ์ทำให้คนอ่านคล้อยตามอินไปกับนิยายที่เราเขียน การเขียนบรรยายสภาพแวดล้อม บรรยายอิริยาบถของตัวละครได้น่าประทับใจ การเลือกเล่าเหตุการณ์ที่คนอ่านจดจำได้ง่าย ไม่วกวนเขียนเองแล้วงงเองยัดเยียดเข้าไปแบบฝืนๆ
เราเคยเขียนออริเรื่องแรกแล้วปังเลย ส่วนเรื่องสองก็ปังแต่โดนคอมเมนบั่นทอนจนเขียนไม่จบ เรื่องสามคนติดตามอ่านไม่ถึงร้อย พอจบก็กะว่าจะเขียนเรื่องที่ค้างไว้ต่อ แต่ความรู้สึกตอนเขียนเรื่องนี้มันก็ไม่กลับมา ไปเปิดเรื่องสี่สุดท้ายก็ไม่จบอีก มันเป็นสัญญาณเตือนว่าเรากำลังหมดไฟเขียน ตอนนั้นอ่านฟิคเยอะแล้วขัดใจเลยเขียนเอง กลายเป็นว่ากลับมาปังอย่างตกใจ ถึงขั้นติดท๊อปตั้งแต่ตอนประมาณยี่สิบกว่าจนจบเรื่อง(เราลงทุกวัน) ได้พลังในการเขียนกลับมาแถมได้ฐานแฟนคลับใหม่มาติดตาม จบเรื่องนั้นก็ยังเขียนฟิคอีกเรื่อง แม้จะไม่ปังเท่าอันแรก ก่อนกลับมาจับออริแต่เป็นแนวใหม่ที่ไม่เคยเขียน ทำให้คนอ่านเงียบไปอีก ปัจจุบันกลับมาจับนิยายแนวเดิม มันก็ทำท่าจะไปได้สวยนะคะ บางทีการเปลี่ยนมุมมองและทำมันด้วยใจรักจริง ๆ อยากเขียนอยากสื่อสารอะไรกับคนอ่าน สำหรับเราเราไม่เขียนนิยายกระแส และไม่มีเวลาลงทุกวันเหมือนแต่ก่อนทำให้เข้าถึงกลุ่มคนไม่มาก แถมการแข่งขันในปัจจุบันสูงมาก แต่ตราบใดที่คนติดตามไม่เป็นศูนย์เราก็จะลงจนจบค่ะ ท้ายตอนก็ลองพูดคุยกับนักอ่านบ้าง แรก ๆ เขาอาจเงียบ แต่นาน ๆ ไปก็มีตอบกลับมาบ้าง ปัจจุบันจะมีรีดอยู่สองคนที่มาคอมเมนต์ทุกตอนเสมอ ซึ่งแค่นี้เราก็สนุกที่จะได้รออ่านฟีคแบคจากเขาแล้วค่ะ ไม่ต้องรอให้มีคนมาคอมเมนต์เยอะ ๆ แล้วดีใจ แค่กดใจให้เราก็ดีใจแล้ว มายเซตในการหามุมสนุกกับงานเขียนเราว่าสำคัญเลยทีเดียวนะคะ เพราะมันจะเป็นเชื้อเพลิงให้เราอย่างดีเลยค่ะ
หวังว่าเส้นทางที่เราเดินผ่านมาแล้วยังเขียนนิยายได้เป็นสิบกว่าปีนี้จะช่วยให้คุณหาทางออกสำหรับตัวเองเจอนะคะ
พื้นฐานแรกของการเขียนนิยายคือตนเองต้องรู้สึกชอบ และสนุกก่อน ไม่ควรคาดหวังกับคนอ่านตั้งแต่ตน เพราะ100คนก็ชอบ ก็สนุกไม่เท่ากัน ยิ่งคาดหวังกับคนอื่นมากเท่าไหร่เมื่อผลลัพท์ไม่ออกมาดังที่ตั้งใจก็จะผิดหวัง และเสียความมั่นใจมากเท่านั้น ปรับmind setไหมก็ดีครับ
ฉันสนุกที่ได้เขียนผลลงานออกมา ใครจะชอบไม่ชอบก็ช่าง
คนอ่านน้อยมีหลายสาเหตุนะคะ
-แนวเรื่องตรงความต้องการของตลาดหรือไม่ ถ้าไม่ตรง เขียนดีอย่างไรก็จะได้ยอดวิวแค่ประมาณนึงเท่านั้นค่ะ จะไม่มีทางสูงได้แบบคนที่เขียนตามกระแส
-แต่ถ้าคุณเขียนตามกระแสแล้วยอดวิวยังน้อย หรือเขียนนอกกระแสแต่ยอดวิวกลับต่ำเตี้ยกว่าเรื่องอื่น ๆ ในแนวเดียวกันหลายเท่า มันก็มีเรื่องมากมายให้พิจารณาค่ะ เช่น คุณอัปนิยายบ่อยแค่ไหน คำโปรย หน้าปก ชวนให้คนคลิกมาอ่านไหม พล็อต ลำดับการเล่าเรื่อง ภาษา ชวนให้คนที่หลงเข้ามาติดตามต่อหรือเปล่า ถ้าไม่รู้จะแก้ยังไง อาจต้องหาคนมาช่วยวิจารณ์ค่ะ
บางครั้งผมคิดว่าเรื่องพวกนี้มันมีหลากหลายสาเหตุนะครับ แล้วก็บางทีปัจจัยส่วนใหญ่มันก็เป็นอะไรที่เรา 'คุมไม่ได้' ด้วย
ผมเข้าใจในความมี Passion ในการเขียนนะ แรก ๆ ช่วงนึงเราทำไปเพราะความตั้งใจ แต่กระทั่งพอช่วงหลัง ความรู้สึกของการเอางานตัวเองไป 'เปรียบเทียบ' กับคนอื่น ที่จริงอยากจะเน้นเรื่อง 'การเปรียบเทียบ' ก่อนเป็นส่วนสำคัญ เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกวงการ แทบจะทุกที่ ถ้าผมบอกว่าให้ 'เลิก' เปรียบเทียบมันคงเป็นไปได้ยาก (เพราะเอาเข้าจริง ส่วนตัวผมเองยังคงมีความรู้สึกแบบนี้อยู่ xD)
เรื่องผลลัพท์ที่ไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ ของแบบนี้สาเหตุจริง ๆ อาจมาจากเรื่อง 'ความคาดหวัง' นั่นแหละครับ เป็นปกติธรรมดาสำหรับการที่เราทำอะไรสักอย่าง แล้วเรามีความคาดหวังเป็นอย่างมากว่า 'ถ้าเราทำสิ่งนี้ คนจะเห็น คนจะชอบ แล้วจะได้รับยอดวิวหรือการตอบรับที่เพิ่มมากขึ้น' อันที่จริงเรื่องพวกนี้มันอาจต้องศึกษาในเรื่องของการตลาดและช่วงเวลาในการอัปโหลดผลงานสักหน่อย แต่ใด ๆ เอง ผมว่าเรื่องพวกนี้มันเป็นเรื่อง 'ปัจจัยภายนอก' ที่ยากมากจะควบคุมได้อ่ะครับ
ผมไม่รู้ว่า จขกท. มีประสบการณ์การเขียนนานแค่ไหน แต่ถ้าอยากได้วิธีกู้คืนความมั่นใจ ลองกลับไปหันดูช่วงเวลาในอดีตหรือ 'จุดเริ่มแรก' ที่เราเริ่มเขียนฟิคครั้งแรกดีไหมครับ? ลองปฏิเสธการเดินตามกระแสหรือไม่ก็สร้าง 'จุดยืน' บางอย่างของตัวเองขึ้นมาในการเขียน ตั้งเป้าหมายหรือจุดประสงค์ในการเขียนดู ประกอบกับการมองหาความเป็นไปได้ใหม่ ๆ เรียนรู้และพัฒนาตัวเองในรูปแบบที่ 'สะดวกตัวเอง' ให้มากที่สุด หากว่ากำลังหมดไฟกับงานเขียนอยู่ ลองวางงานของตัวเองลง แล้วหันไปทำสิ่งที่เราชอบหรือสิ่งที่ไม่เคยทำดู ว่ากันว่าช่วงเวลาที่เรามีความสุขมากที่สุด มักเป็นช่วงเวลาที่เราอยู่กับสิ่ง ๆ หนึ่งได้เป็นระยะเวลานาน ๆ โดยที่ไม่รู้สึกเหนื่อยหรือเบื่อเลย (จริงไหมไม่รู้ แต่คงส่วนนึงแหละ (มั้งนะ xD))
เหนื่อยก็พัก ฝืนร่างกาย ฝืนสมองมากเกินไป มีสิทธิ์หมดไฟเร็วกว่าปกติเป็นหลายเท่า ยิ่งถ้าต้องแข่งกับกระแสรายวันที่ไหลไปเรื่อยไม่มีหยุดก็ยิ่งแล้วใหญ่ คนที่มีความสุขกับการแข่งขันก็ดีไป แต่ถ้าไม่สนุกกับการ Competitive ก็หันไปสายทำชิว ๆ ไม่รีบ ไม่เร่ง จะจบหรือไม่จบขึ้นอยู่กับพลังกาย + พลังใจ + พลังสมอง & จินตนาการตามแต่ที่คิดได้
ที่เหลือก็อยู่ตรงที่ 'เรา' แล้วแหละครับว่าจะเอาไงต่อ
ขอให้สนุกกับการเขียนนะครับ :D
ส่วนตัวเคยเขียนเรื่องแรกในเด็กดียอดน้อยค่ะ คนตามหลักหน่วย สุดท้ายดองค่ะ แต่มาปังเพราะกลับมาเปิดเรื่องใหม่ เป็นนิยายรัก คือปังของเราคนตามสองร้อยกว่า ยอดวิว 30k ขึ้น
เราพอใจแล้วค่ะ แต่ถ้าไปเทียบกับยอดวิวเป็นแสนก็คงท้อ เราเขียนเพราะสนุกและหลงใหลในตัวอักษรค่ะ
เคยสนใจยอด พอน้อยก็เศร้าเลยค่ะ แต่ปัจจุบันไม่ค่อยใส่ใจแบบอดีตแล้วค่ะ
เนื่องจากเขียนเพราะอยากอ่านเองด้วยค่ะ
เราว่าการเขียนนิยายแฟนฟิคกับออริมันไม่เหมือนกันหรอกค่ะ หากอยากจะเขียนออริก็เริ่มเลย อย่าไปคิดว่า 'ขนาดแฟนฟิคที่มีฐานแฟนคลับเรื่องนั้นๆ ยังทำให้คนอ่านไม่ได้ จะมาเอาอะไรกับงานที่ตัวเองเขียนเอง' เพราะความจริงแล้วถึงแฟนฟิคของคุณจะแมสแค่ไหน แต่สุดท้ายหากอยากจะมาสายออริจริงๆ คุณก็ต้องเริ่มใหม่อยู่ดี
เหมือนกับฐานนักอ่านสายออริกับแฟนฟิคมันคนละสายกันเลยค่ะ มันก็จริงที่บางทีนักอ่านที่มาจากแฟนฟิคจะตามมาอ่านงานออริ แต่มันจะมีจำนวนประชากรน้อยมากๆ
เริ่มเลยค่ะ ถ้าอยากจะเป็นนักเขียนออริก็เริ่มเลย ไม่ต้องกลัวหรือคิดมากเกินไปนะคะ เพราะหากถ้ากลัว แล้วไม่ยอมเขียนงาน ความเป็นไปได้ที่นิยายคุณจะแมสก็อยู่แค่ 0%
แต่หากคุณเขียนงานออกมา แย่สุดคือไม่มีคนอ่าน แต่ในความแย่นั้นหากคุณผลิตงานออกมาเรื่อยๆ ผลิตงานออกมามากๆ ทำให้นักอ่านในเว็บนิยายคุ้นหน้าคุ้นตา การทำแบบนั้นจะเป็นการเพิ่มฐานนักอ่านไปในตัว จากนั้นก็จะมีคนมองเห็นงานเราเองค่ะ
อันนี้พูดถึงแค่แบบแย่สุดนะ แล้วดีสุดคืออะไร?
ดีสุดคือคนอ่านเยอะ และแมสเลย ใครก็หวังแบบนี้ใช่ไหมคะ ซึ่งงานจะแมสหรือไม่แมส บางทีก็บอกไม่ได้นะว่าเพราะอะไร คือทุกคนมีโอกาสแมสตราบใดที่ยังคอยอัปโหลดผลงานให้คนอื่นได้อ่านอ่ะ
เป็นกำลังใจให้นะคะ เดินออกมาจากเซฟโซนกันเถอะค่ะ
ความน่ากลัวของทุกอาชีพคือการเปรียบเทียบครับ
บางครั้งช่วยเพิ่มกำลังใจ สร้างแรงฮึด แต่บางครั้งกลับทำลายตัวเอง
ไม่ว่าออริหรือแฟนฟิค ถ้าพอใจแนวไหนขอให้แต่งไปเถอะครับ พยายามย้อนไปวันแรกที่เราลงมือเขียนให้ได้ ไม่รู้ว่าคุณคิดอะไรอยู่ตอนนั้น แต่ผมคิดว่าขอแค่มีคนตามแค่ 1 คน ได้ยอดวิวหลัก 100 มีคนเมนต์สักคน... ก็ดีใจแล้ว
ผลคือมาไกลกว่านั้นมาก
แต่พอมาไกลเราจะคิดต่ออีกว่า ทำไมคนที่เปิดเรื่องใกล้กัน มันไปหลัก 100,000 แล้ว ทำไมเรื่องเราไม่ดังเท่าเรื่องนั้น ทำไมเรื่องนั้นคนเมนต์เยอะจัง
ช่วงเวลานี้แหละที่ผมจะย้อนมาคุยกับตัวเองใหม่ว่า วันแรกที่ลงนิยายเรื่องนั้น เราต้องการอะไร จากนั้นก็มีแรงฮึดกลับมาอีกครับ
การเติบโตของเรื่องอื่น ไม่เกี่ยวกับเราครับ แนวเรื่อง สไตล์การเขียน สำนวน ต่างกันด้วย
...แต่กว่าจะนึกย้อนไปวันแรกได้นี่เหนื่อยเหมือนกันนะ 555
อีกข้อคือให้รางวัลกับตัวเอง
อย่างผมเมื่อวานวิวเรื่องล่าสุดเข้า 9K ผมไม่ทำอะไรเลยครับ ไม่แต่งนิยาย ไม่คิด ไม่จับ พักผ่อน ๆๆๆๆๆๆๆ อย่างเดียว ให้เหมือนเป็นวันสุดท้ายของชีวิต
ข้อแรกพิจารณาตนเองว่าผลงานดีแล้วหรือยัง ดีจริงหรือไม่
ข้อสอง ออริกับแฟนฟิคมีแฟนคลับคนละกลุ่ม
จะบอกว่าออริยากกว่าก็คงยากแหละ
แต่ขณะเดียวกัน เราเป็นคนอ่านออริ ไม่อ่านฟิคเลย ดังนั้นถ้าเจอเป็นฟิคก็จะไม่อ่าน ยกเว้นคู่ที่ชอบที่อาจจะเข้าไปดูหน่อย แต่ถ้าเขียนไม่ได้เรื่องก็ไม่อ่านอยู่ดี
ดังนั้นจะบอกว่าคนไม่อ่านแฟนฟิคก็เยอะ อย่าคิดว่าตลาดแคบกว่า มันไม่ใช่
อยากลองทำอะไรก็ลองไปเลย ไม่ได้เสียเงินทุนสักหน่อย อย่างมากก็แค่เสียเวลาเองค่ะ
มัวยึดติดอยู่กะคนอื่นแบบนี้ก็เลิกเขียนเหอะ ความเป็นตัวเองไม่มีจะมาสรรค์สร้างงานอะไรดีๆได้ ผลตอบรับไม่ดีก็ชัดเจนว่างานมันไม่ดี
เราว่าการให้กำลังใจตัวเองก็เป็นสิ่งสำคัญค่ะ ถ้าเขียนแล้วยังรู้สึกสนุกอยู่สักวันหนึ่งจะต้องมีคนมาเห็นงานคุณเจ้าของกระทู้แล้วสนุกเหมือนกันแน่นอนค่ะ
เราเองก็อยู่ในสถานการณ์ใกล้เคียงกันเริ่มจากเขียนแฟนฟิคก่อนแล้วอยากขยับมาเขียนออริ แต่แฟนฟิคเราคนอ่านเยอะค่ะลงตอนเดียวคนก็ตามเป็นร้อยแล้ว แต่ออริลงสามสี่ตอนยังไม่มีคนตามสักคนกดเข้ามาอ่านก็อยู่แค่20+มันก็เกิดคำถามบ่อย ๆ ว่าที่เขียนอยู่นี่มันสนุกจริง ๆ หรือที่มีคนตามอ่านก่อนหน้านี้เพราะฐานแฟนฟิคเสียเซลฟ์มากค่ะเพราะว่ายอดมันต่างกันมาก ๆๆๆๆ
เราพักไปเป็นปีเลยค่ะเพราะทำใจออกจากเซฟโซนไม่ได้แต่เราก็ยังชอบเขียนอยู่สุดท้ายก็เลยกลับมาเขียน ก็เลยให้กำลังใจตัวเองทุกวันว่าคงจะมีคนมาชอบงานเรา วันนี้ยังไม่ชอบ พรุ่งนี้ก็จะทำให้ชอบให้ได้ค่ะ เราเลยรู้ว่าคนเดียวที่จะให้ความมั่นใจเราได้มากที่สุดก็คือตัวเราเองเรายังเชื่อว่างานเรายังมีคุณค่าให้คนอื่นได้ค้นพบและเราก็หวังว่าเจ้าของกระทู้จะเชื่อแบบนั้นเช่นเดียวกันค่ะ มันอาจจะใช้เวลาสักพักแต่ถ้ายังไม่หยุดเขียนสักวันจะต้องเป็นวันของเราแน่นอนค่ะ เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้นะคะ
ขอเล่าในฐานะคนเขียนแฟนฟิคและประสบเหตุการณ์คล้ายๆ คุณนะ
เราเขียนแฟนฟิคจากนิยายดังระดับโลกเรื่องหนึ่งซึ่งเขียนทั้งหมดไปได้แปดสิบกว่าตอน เขียนแรกๆ แน่นอนว่าไฟแรงแล้วมันก็เริ่มแผ่วลงเรื่อยๆ ตามจำนวนตอนที่มากขึ้นเรื่อยๆ และความผิดหวังเดิมๆ ยอมรับว่าที่เขียนก็คาดหวังคอมเม้นท์นะแต่นั่นล่ะ ลงไปก็ไม่มีคอมเม้น นานๆ จะมาที (เหมือนคุณ) ยอดอ่านช่วงลงแรกๆ ไม่เคยเกินหลักร้อย ก็เกิดความคิดแบบเดียวกับคุณว่าหรือเราเขียนไม่ดี ยิ่งไปดูฟิคเรื่องอื่นเห็นยอดของเขาถล่มทลายก็ยิ่งเกิดความคิดกดทับตัวเองอีกจนตอนนั้นคิดเลยว่าอยากล้มเลิก เราคงไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นนักเขียน
กระทั่งพอเขียนจบ หยุดพักยาวๆ แล้วก็กลับไปเขียนนิยายออริที่เคยดองไว้มาปรับพล็อตเขียนต่อจนจบปล่อย E-book ผลลัพธ์ก็อย่างที่คาด เราไม่ได้โปรโมทด้วยเพราะส่วนหนึ่งก็ไม่มั่นใจในงานเขียนตัวเองด้วย+ก่อนหน้านี้สองสามปีก่อนเคยเขียนนิยายออริแจกฟรีเรื่องหนึ่งแล้วโดนคนสับแบบเละ คือตอนนี้เรากลับมาเขียนออริและพยายามฟื้นฟูความมั่นใจไปด้วยเช่นกัน เพราะสุดท้ายแล้วเราก็คงเลิกเขียนไม่ได้ตราบใดที่ร่างกายยังไหว (ก็คนมันรักอะนะ) ที่พิมพ์มาเสียยาวก็อยากเล่าอยากแชร์เหตุการณ์คล้ายๆ กัน เราแนะนำอะไรไม่ได้มากนักเพราะอยู่ในช่วงฟื้นฟูตัวเอง แต่ถ้าให้แนะนำก็คงเหมือนความเห็นอื่นๆ คือเขียนไปเลย
ยังไงงานออริกับแฟนฟิคก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้วค่ะ ออริเริ่มต้นยังไงก็ยากกว่า ใช้เวลามากกว่าและเราคิดว่าเหนื่อยกว่าด้วย เพราะนามปากกาใหม่ต้องอาศัยเวลาและผลงานกับคุณภาพควบคู่กันไปเพื่อสะสมฐานคนอ่านไปเรื่อยๆ กรณีที่นิยายไม่แมสน่ะนะ ฝึกฝนไปเรื่อยๆ อ่านเยอะๆ ที่สำคัญเราว่าต้องใจดีกับตัวเอง ไม่กดดัน อย่าคาดหวังมาก เขียนที่เราอยากเขียนแล้วมันจะสนุก มันถึงจะไปต่อในเส้นทางนี้ได้
ถ้าเขียนแฟนฟิคแล้วคนอ่านน้อย ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะฐานคนอ่านแฟนฟิคก็ไม่ได้มากอยู่แล้ว พูดง่ายๆขนาดนิยายเรื่อง Pride and Prejudice ของ Jane Austen ที่เขียนเมื่อ 200 กว่าปีก่อน มีนิยายแฟนฟิคของเรื่องนี้อยู่เกือบ 6000 เล่มเฉพาะที่ตีพิมพ์เป็น ภ. อังกฤษ แต่แทบไม่มีใครแจ้งเกิดจากการเขียนแฟนฟิคเรื่องนี้ ส่วนใหญ่ที่พอฮือฮาหน่อยก็เพราะมีนักเขียนชื่อดังมาเขียน เช่น P.D. James ฉีกแนวไปเป็นนิยายลึกลับสืบสวนสอบสวน
การเขียนแฟนฟิคให้ปัง ให้แมส ถือเป็นโจทย์สุดหิน เพราะคนอ่านส่วนใหญ่ไม่ได้มองแฟนฟิค ขนาดคนที่อ่านนิยายมาทั้งชีวิตอย่างคนตอบกระทู้นี้ก็อ่านแฟนฟิคมาแค่เล่มสองเล่ม แถมยังไม่ใช่แฟนฟิคไทยอีก เพราะฉะนั้นก่อนที่ จขกท.จะถอดใจ ลองเขียนนิยายออริจินอลสักเรื่องดีไหม? ถือเป็นก้าวที่กล้า…และบางทีเส้นทางของคนเขียนอย่างคุณกับคนอ่านอย่างเราอาจจะได้เจอกัน
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?